ADMIN JAAFeb 19, 2023ไม่มีเงินเช่าสตูดิโอ แต่อยากอัดเสียงที่บ้านให้ได้ ทำยังไง? ไม่มีเงินเช่าสตูดิโอ แต่อยากอัดเสียงที่บ้านให้ได้ ทำยังไง?จริงอยู่ว่าการที่เราจะได้เสียงที่อัดมาดีๆนั้นเราต้องใช้ห้องอัดหรือ Studio ดีๆในการบันทึกเสียงเพื่อให้ได้คุณภาพ แต่หลายคนประสบปัญหาเรื่องการเงิน เศรษฐกิจไม่ดี เราจะมีวิธีไหนบ้างในการอัดบันทึกเสียงให้มีคุณภาพเทียบเคียงหรือใกล้เคียงแบบสตูดิโอมากที่สุด ด้วยตัวเราเองที่บ้านได้6 สิ่งที่คุณควรรู้ในการอัดเสียง1. จัดห้องให้ดี อย่าให้มีเสียงรบกวน เสียงสะท้อนเป็นอะไรที่กวนใจมาก การหาแผ่นซับเสียงมาใช้ก็ถือว่าช่วยได้เช่นกัน รวมไปถึงพวกเสียงไม่พึงประสงค์ต่างๆอย่างเสียงแอร์ เสียงพัดลมพวกนี้ก็ควรจะทำให้เงียบให้หมดด้วย 2. เลือกไมค์ให้ถูก ไมค์โครโฟนที่เลือกใช้ก็จะมีสองแบบให้เลือกระหว่างไมค์ Condenser กับ Dynamic ทริคง่ายๆในการเลือกก็คือ หากต้องการอัดเสียงที่โทนสูงก็จะแนะนำเป็นไมค์ Condensor แต่ถ้าอยากจะอัดเสียงที่ดังกว่า และโทนเบสที่ดีกว่าก็จะแนะนำเป็นไมค์ Dynamic *ถ้าห้องอัดเราใหญ่มาก ก็จะแนะนำให้ใช้เป็นไมค์ Dynamic เพราะเจ้าไมค์ประเภทนี้จะไม่ค่อยจับเสียงสูงที่สะท้อนไปมาในห้อง3. ลองใช้ Audio Interface การใช้ Audio Interface จะทำให้เราสามารถอัดเสียงแบบ Analog แล้วเปลี่ยนไปเป็น Digital ทีหลังเพื่อให้ใช้บนคอมพิวเตอร์ได้ อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนสัญญาณ Digital พวกนั้นให้กลับไปเป็นสัญญาณเสียงเพื่อเล่นผ่านหูฟังและลำโพงได้อีกด้วย4. จัดตำแหน่งไมค์ให้ดี ปรับระดับความสูงของไมค์โครโฟนให้พอดี ขนานกับปากผู้ร้อง การใช้ Pop Filter ก็จะช่วยลดเสียง Plosive จากเสียงร้องที่ออกมาได้อย่างเช่นเสียง พ-, บ- หรือ ท- ส่วนเรื่องระยะของไมค์กับปากก็จะขอแนะนำเป็นสองอย่างคือ หากเอาปากไปใลก้ไมค์ก็จะได้เสียงที่มีความถี่ต่ำและได้เบสที่ดี กลับกัน หากเอาปากออกไกลมาจากตัวไมค์ก็จะได้เสียงที่มีความถี่สูงนั่นเอง ไม่ว่าจะใกล้ไกลก็อัดออกมาดีทั้งนั้น อยู่ที่ความชอบส่วนตัวเลย5. ปรับความดังด้วย Gain Staging หรือก็คือการปรับบาลานซ์ความดังของเสียง เวลาที่เสียงเข้าไมค์มาแล้วมันเบา พอไปปรับใน DAW ให้ดังขึ้น กลายเป็นว่าเสียง Noise ก็ตามมาด้วย การ Gain Staging คือการทำให้ท่อนที่ดังที่สุดตอนอัดเสียง(หากเป็นเสียงร้อง ก็ให้ร้องท่อนที่ดังที่สุด)ของเพลงให้อยู่ในระดับ -12 dbs ถึง -6 dbs เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเร่งเสียงแล้วเกิด Noise ทีหลัง6. ลดอาการดีเลย์ด้วยการปรับขนาด Buffer บ่อยครั้งเสียงที่เราอัดมานั้นฟังดูแปลกๆดีเลย์อ่อนๆ วิธีแก้ง่ายๆก็คือการไปลดค่า Buffer ผ่าน DAW หรือ Audio Inteface ก็ได้เหมือนกัน แต่ก็อย่าลืมเปลี่ยนค่ากลับด้วยล่ะก่อนจะเอาไปเล่นซ้ำหรือมิกซ์ นอกเหนือจากที่ว่ามาทั้ง 7 ข้อนั้นก็จะยังมีเทคนิคพื้นฐานอื่นอย่าง Multitracking, Overdubbung และ Audio Editing ที่ต้องฝึกให้ชำนาญ จำไว้ว่ายิ่งเราลองผิดลองถูกมากเท่าไร เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้นสำหรับใครที่อยากจะอัดเสียงร้องและดนตรีให้มีคุณภาพ เรามีคอร์สเรียน Cover music มาแนะนำครับ คอร์สนี้สอนตั้งแต่พื้นฐานการใช้โปรแกรมทำเพลง การเลือกอุปกรณ์ทำเพลง การอัดเสียงร้อง และเสียงดนตรี ,การทำดนตรี ,การมิกซ์และมาสเตอริ่งเพลงให้ได้คุณภาพ เรียกได้ว่าเนื้อหาในคอร์สอัดแน่นจัดเต็ม คอร์สเดียวรู้เรื่องYoutube : Tong ApolloInstagram : classabytongapolloFacebook : สอนทำเพลงออนไลน์ Class A by Tong ApolloTikTok : Class A by Tong Apollo
ไม่มีเงินเช่าสตูดิโอ แต่อยากอัดเสียงที่บ้านให้ได้ ทำยังไง?จริงอยู่ว่าการที่เราจะได้เสียงที่อัดมาดีๆนั้นเราต้องใช้ห้องอัดหรือ Studio ดีๆในการบันทึกเสียงเพื่อให้ได้คุณภาพ แต่หลายคนประสบปัญหาเรื่องการเงิน เศรษฐกิจไม่ดี เราจะมีวิธีไหนบ้างในการอัดบันทึกเสียงให้มีคุณภาพเทียบเคียงหรือใกล้เคียงแบบสตูดิโอมากที่สุด ด้วยตัวเราเองที่บ้านได้6 สิ่งที่คุณควรรู้ในการอัดเสียง1. จัดห้องให้ดี อย่าให้มีเสียงรบกวน เสียงสะท้อนเป็นอะไรที่กวนใจมาก การหาแผ่นซับเสียงมาใช้ก็ถือว่าช่วยได้เช่นกัน รวมไปถึงพวกเสียงไม่พึงประสงค์ต่างๆอย่างเสียงแอร์ เสียงพัดลมพวกนี้ก็ควรจะทำให้เงียบให้หมดด้วย 2. เลือกไมค์ให้ถูก ไมค์โครโฟนที่เลือกใช้ก็จะมีสองแบบให้เลือกระหว่างไมค์ Condenser กับ Dynamic ทริคง่ายๆในการเลือกก็คือ หากต้องการอัดเสียงที่โทนสูงก็จะแนะนำเป็นไมค์ Condensor แต่ถ้าอยากจะอัดเสียงที่ดังกว่า และโทนเบสที่ดีกว่าก็จะแนะนำเป็นไมค์ Dynamic *ถ้าห้องอัดเราใหญ่มาก ก็จะแนะนำให้ใช้เป็นไมค์ Dynamic เพราะเจ้าไมค์ประเภทนี้จะไม่ค่อยจับเสียงสูงที่สะท้อนไปมาในห้อง3. ลองใช้ Audio Interface การใช้ Audio Interface จะทำให้เราสามารถอัดเสียงแบบ Analog แล้วเปลี่ยนไปเป็น Digital ทีหลังเพื่อให้ใช้บนคอมพิวเตอร์ได้ อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนสัญญาณ Digital พวกนั้นให้กลับไปเป็นสัญญาณเสียงเพื่อเล่นผ่านหูฟังและลำโพงได้อีกด้วย4. จัดตำแหน่งไมค์ให้ดี ปรับระดับความสูงของไมค์โครโฟนให้พอดี ขนานกับปากผู้ร้อง การใช้ Pop Filter ก็จะช่วยลดเสียง Plosive จากเสียงร้องที่ออกมาได้อย่างเช่นเสียง พ-, บ- หรือ ท- ส่วนเรื่องระยะของไมค์กับปากก็จะขอแนะนำเป็นสองอย่างคือ หากเอาปากไปใลก้ไมค์ก็จะได้เสียงที่มีความถี่ต่ำและได้เบสที่ดี กลับกัน หากเอาปากออกไกลมาจากตัวไมค์ก็จะได้เสียงที่มีความถี่สูงนั่นเอง ไม่ว่าจะใกล้ไกลก็อัดออกมาดีทั้งนั้น อยู่ที่ความชอบส่วนตัวเลย5. ปรับความดังด้วย Gain Staging หรือก็คือการปรับบาลานซ์ความดังของเสียง เวลาที่เสียงเข้าไมค์มาแล้วมันเบา พอไปปรับใน DAW ให้ดังขึ้น กลายเป็นว่าเสียง Noise ก็ตามมาด้วย การ Gain Staging คือการทำให้ท่อนที่ดังที่สุดตอนอัดเสียง(หากเป็นเสียงร้อง ก็ให้ร้องท่อนที่ดังที่สุด)ของเพลงให้อยู่ในระดับ -12 dbs ถึง -6 dbs เพื่อจะได้ไม่ต้องมาเร่งเสียงแล้วเกิด Noise ทีหลัง6. ลดอาการดีเลย์ด้วยการปรับขนาด Buffer บ่อยครั้งเสียงที่เราอัดมานั้นฟังดูแปลกๆดีเลย์อ่อนๆ วิธีแก้ง่ายๆก็คือการไปลดค่า Buffer ผ่าน DAW หรือ Audio Inteface ก็ได้เหมือนกัน แต่ก็อย่าลืมเปลี่ยนค่ากลับด้วยล่ะก่อนจะเอาไปเล่นซ้ำหรือมิกซ์ นอกเหนือจากที่ว่ามาทั้ง 7 ข้อนั้นก็จะยังมีเทคนิคพื้นฐานอื่นอย่าง Multitracking, Overdubbung และ Audio Editing ที่ต้องฝึกให้ชำนาญ จำไว้ว่ายิ่งเราลองผิดลองถูกมากเท่าไร เราก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้นสำหรับใครที่อยากจะอัดเสียงร้องและดนตรีให้มีคุณภาพ เรามีคอร์สเรียน Cover music มาแนะนำครับ คอร์สนี้สอนตั้งแต่พื้นฐานการใช้โปรแกรมทำเพลง การเลือกอุปกรณ์ทำเพลง การอัดเสียงร้อง และเสียงดนตรี ,การทำดนตรี ,การมิกซ์และมาสเตอริ่งเพลงให้ได้คุณภาพ เรียกได้ว่าเนื้อหาในคอร์สอัดแน่นจัดเต็ม คอร์สเดียวรู้เรื่องYoutube : Tong ApolloInstagram : classabytongapolloFacebook : สอนทำเพลงออนไลน์ Class A by Tong ApolloTikTok : Class A by Tong Apollo
Comentarios